คุณครู.คอม
.









Online: 16 user(s)

ตั้งแต่ 3 กุมภาพันธ์ 2541





kunkroo radio

ตรวจสอบแทรคไปรษณีย์ไทย

domain register Admin Only

ทดสอบความเร็วอินเตอร์เน็ต

ตรวจสอบไอพี(IP check for locate)

..
     


    :  เกี่ยวกับเราคุณครู.คอม
หมวด: พุทธประวัติ
แสดงเจตนา
เรื่องและภาพรวบรวมมาจากอินเตอร์เน็ตที่เจ้าของไม่ได้สงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่ไว้
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในเจตนากุศลในการเผยแพร่ธรรมทานอย่างบริสุทธิ์ของท่านเหล่านั้น
หากข้อความใดหรือภาพใดมีผู้หวงห้าม ข้าพเจ้าขออภัยและขอบอกกล่าวว่า ไม่มีเจตนาลักขโมยของท่าน
เพียงนำมาเผยแพร่เป็นธรรมทานให้ผู้สนใจทั่วไป และมีเจตนาให้นำไปเผยแพร่ต่อได้
ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากอินเตอร์เน็ต
นายนิคม พวงรัตน์ รวบรวม เรียบเรียง เผยแพร่

อภินิหารพระโพธิสัตว์
12-01-2013 เข้าชมแล้ว: 23453

ภาพ พระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จผ่านทางที่เป็นเลนตม หลุมบ่อ สุเมธดาบสก็ได้ทอดตัวลงนอน ถวายหลังให้เป็นทางเสด็จ วาดโดยศิลปินชาวพม่า

ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์
อดีตกาลย้อนหลังไป ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัป

ย้อนกลับไปในอดีตชาติของพระสมณะโคตมะ (เจ้าชายสิทธัตถะ) ก่อนที่จะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่ในอดีตชาติ เรียกว่า “พระโพธิสัตว์”
(แปลว่า ท่านผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) ซึ่งอดีตชาติของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมาย

ใน อดีตชาติหนึ่งพระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็น “สุเมธดาบส” และได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า “พระพุทธทีปังกร” (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔) ดังนั้น สุเมธดาบสจึงตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์ท่าน


มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จผ่านทางที่เป็นเลนตม หลุมบ่อ สุเมธดาบสก็ได้ทอดตัวลงนอน ถวายหลังให้เป็นทางเสด็จ เมื่อพระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จถึง สุเมธดาบสก็ได้รับการตรัสพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรว่า “ดาบสนี้ทำอภินิหารปรารถนา เพื่อเป็นพระพุทธะ ความปรารถนาของดาบสนี้จักสำเร็จในอนาคตเบื้องหน้าโน้น”ซึ่งเมื่อสุเมธดาบส ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ก็ได้ชื่อว่าเป็น “โพธิสัตว์” นับแต่นั้นมา

ในพระคัมภีร์ทางพระ พุทธศาสนาได้อธิบายไว้ว่า ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะสำเร็จเพราะผู้ตั้งความปรารถนาประกอบด้วย “ธรรมสโมธาน ๘ ประการ” ได้แก่

๑. เป็นมนุษย์
๒. เป็นบุรุษเพศสมบูรณ์ (สตรี หรือกระเทยเป็นไม่ได้)
๓. มีเหตุสมบูรณ์ คือ มีนิสัยบารมี พร้อมทั้งการปฏิบัติประมวลกัน เป็นเหตุที่จะให้บรรลุพระอรหันต์ในอัตภาพนั้นได้แล้ว แต่เพราะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า จึงยังไม่สำเร็จก่อน
๔. ได้เห็นพระศาสดา คือ ได้เกิดทัน ตลอดจนได้เข้าเฝ้า และได้ทำความดีถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
๕. บรรพชา คือ ถือบวชเป็นนักบวช เช่น ฤษี ดาบส (ต้องเป็นบรรพชิต ไม่ใช่เป็นคฤหัสถ์ )
๖. ถึงพร้อมด้วยคุณ คือ ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หมายถึง การได้สมาธิจิตอย่างสูง จนจิตบังเกิด ความรู้ ความเห็น อย่างมีตา มีหู รับรู้เห็นเกินมนุษย์สามัญ ที่เรียกว่า ตาทิพย์ หูทิพย์
๗. ถึงพร้อมด้วยอธิการ คือ การกระทำอันดียิ่ง จนถึงอาจบริจาคชีวิตของตนเพื่อพระพุทธเจ้าได้
๘. มีฉันทะ คือ มีความพอใจในการเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแรงกล้า มีอุตสาหะ พยายามยิ่งใหญ่ จนเปรียบเหมือนว่ายอมแบกโลกทั้งโลก เพื่อนำไปสู่แดนเกษมได้ หรือเปรียบเหมือนว่ายอมเหยียบย่ำโลกทั้งโลกที่เต็มไปด้วยขวากหนาม หอกดาบ และถ่านเพลิงไปได้

นับ ตั้งแต่ได้รับพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ก็ได้บำเพ็ญ “พุทธการธรรม ๑๐ ประการ” ซึ่งพุทธการธรรม ๑๐ ประการนี้เรียกว่า “บารมี” แปลว่า “อย่างยิ่ง” (หมายถึงว่า เต็มบริบูรณ์ บำเพ็ญจนเต็มบริบูรณ์ เมื่อใดก็สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น) โดยบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขย แสนกัปป์ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๘ พระนามว่า “พระโคดม หรือโคตมะ” ซึ่งการบำเพ็ญพุทธการธรรม ๑๐ ประการ ได้แก่

๑. บำเพ็ญทาน สละบริจาคสิ่งทั้งปวงจนถึงร่างกาย และชีวิตให้ได้หมดสิ้น เหมือนอย่างเทภาชนะใส่น้ำคว่ำจนหมดน้ำ
๒. บำเพ็ญศีล รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต เหมือนอย่างเนื้อทรายรักษาขนยิ่งกว่าชีวิต
๓. บำเพ็ญเนกขัมม์ ออกจากกาม จากบ้านเรือน เหมือนอย่างมุ่งออกจากพันธนาการ
๔. บำเพ็ญปัญญา เข้าหาศึกษา ไต่ถามบัณฑิต โดยไม่เว้นว่าจะเป็นบุคคลมีชาติชั้นวรรณะต่ำ ปานกลางหรือสูง เหมือนอย่างภิกษุเที่ยวบิณฑบาตรับไปตามลำดับ ไม่เว้นแม้นที่ตระกูลต่ำ
๕. บำเพ็ญวิริยะ มีความเพียร ไม่ย่อหย่อนทุกอิริยาบท เหมือนอย่างสีหราช มีความเพียรมั่นคงในอิริยาบททั้งปวง
๖. บำเพ็ญขันติ อดทนทั้งในคำยกย่อง ทั้งในการดูหมิ่นแคลน เหมือนอย่างแผ่นดิน ใครทิ้งของสะอาด หรือไม่สะอาดก็รองรับได้ทั้งนั้น
๗. บำเพ็ญสัจจะ รักษาความจริง ไม่พูดเท็จทั้งที่รู้ แม้ฟ้าจะผ่า เพราะเหตุไม่พูดเท็จ ก็ไม่ยอมพูดเท็จ เหมือนอย่างดาวโอสธี ดำเนินไปในวิถีของตน เที่ยงตรงทุกฤดู
๘. บำเพ็ญอธิฐาน ตั้งใจมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว คือเด็ดเดียวแน่นอนในสิ่งที่อธิษฐานใจไว้ เหมือนอย่างภูเขาหิน ไม่หวั่นไหวในเมื่อถูกลมกระทบทุกทิศ
๙. บำเพ็ญเมตตา แผ่มิตรภาพไมตรีจิต ไม่คิดโกรธอาฆาต มีจิตสม่ำเสมอเป็น อันเดียวทั้งในผู้ให้คุณ ทั้งในผู้ไม่ให้คุณหรือให้โทษ เหมือนน้ำแผ่ความเย็นไปให้อย่างเดียวกันแก่คนทั้งชั่วทั้งดี
๑๐. บำเพ็ญอุเบกขา วางจิตมัธยัสถ์เป็นกลาง ทั้งในคราวสุขในคราวทุกข์ เหมือนอย่างแผ่นดิน เมื่อใครทิ้งของสะอาดหรือไม่สะอาดลงไปก็มัธยัสถ์เป็นกลาง

บารมี ที่บำเพ็ญมาโดยลำดับ แบ่งเป็น ๓ ขั้น ขั้นสามัญเรียก ‘บารมี'' ขั้นกลางเรียกว่า ‘อุปบารมี'' และขั้นสูงสุดเรียกว่า ‘ปรมัตถบารมี'' ซึ่งในภพชาติสุดท้ายได้ทรงบังเกิดเป็น “พระเวสสันดร” และได้ทรงสร้างทานบารมีอย่างยอดเยี่ยม ดังนั้น เมื่อสิ้นจากชาตินั้น ก็ได้ไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต (สวรรค์กามาวจรชั้นที่สี่) เป็นเทพบุตรมีนามว่า “สันดุสิตเทวราช”


อาราธนาพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์เสวยทิพยสมบัติเป็นท้าวสันดุสิตอยู่ในดุสิตสวรรค์ จนพุทธกาลใกล้เข้ามา เทวดาโลกบาลจึงป่าวประกาศว่านับแต่นี้ล่วงไปพันปี
พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติในชมพูทวีป ผู้ใดประสงค์จะได้พบเห็นพระองค์ก็จงทำกุศลกรรมให้ถึงพร้อม ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนากันเถิด
เทวดาทั่วหมื่นจักรวาลพอได้ยินประกาศดังนั้นจึงมาชุมนุมกันถามไถ่ว่าพระโพธิ สัตว์พระองค์ใดจะมาตรัสรู้ จนเกิดพุทธโกลาหลไปทั้งสวรรค์

หลังจากประชุมกันแล้ว ท่านท้าวมหาพรหม ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี ท้าวนิมมานรดี ท้าวสันดุสิต ท้าวสุยามะ ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาราชทั้งสี่
จากหมื่นจักรวาล จึงพากันไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ในดุสิตสวรรค์ กราบบังคมทูลว่าพระองค์บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ มิใช่เพื่อจักรพรรดิสมบัติ สวรรค์สมบัติ
หรือพรหมสมบัติ แต่เป็นไปเพื่อความเป็นพุทธะ บัดนี้กาลนั้นมาถึงพระองค์แล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จไปอุบัติเพื่อพระโพธิญาณเถิด


พระโพธิสัตว์สดับคำอาราธนาจากเหล่าทวยเทพแล้ว ก็ทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะ คือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล และมารดา ว่าพระองค์ควรไปเกิดที่ไหนหนอ

พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณากาลอันสมควรเป็นลำดับแรกว่า กาลใดที่มนุษย์มีอายุขัยยืนยาวเกินแสนปี กาลนั้นมนุษย์มีแต่ความสุขสบาย
ไม่ค่อยได้เห็นความเกิด ความแก่ และความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มนุษย์จะไม่เข้าใจ การบรรลุธรรมจึงเป็นไปได้ยาก
ส่วนกาลใดที่มนุษย์มีอายุขัยน้อยกว่าร้อยปี กาลนั้นมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นผู้มีกิเลสหนา ชีวิตประสบแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน
จิตใจหาความสงบไม่ได้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ผล มนุษย์ทั้งสองกาลนี้สั่งสอนไม่ได้ กาลที่มนุษย์สามารถเข้าใจไตรลักษณ์ได้ คือ
ช่วงที่มีอายุขัยระหว่างแสนปีลงมาจนถึงร้อยปี และกาลปัจจุบันนี้มนุษย์มีอายุขัยร้อยปีเศษ สามารถสั่งสอนได้
จึงเป็นกาลอันสมควรที่พระองค์จะไปอุบัติและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า


เลือกทวีป
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาทวีป ทรงเห็นว่ามนุษย์ใน ๓ ทวีป คือ อุตตรกุรุทวีป บุพพวิเทหทวีป และอปรโคยานทวีป เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยความสุขสบาย การจะสั่งสอนให้ปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นั้นคงยาก เพราะไม่รู้จักความทุกข์ ส่วนมนุษย์ในชมพูทวีปมีความทุกข์มากจึงสามารถสั่งสอนธรรมได้ อีกทั้งเป็นผู้มีใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เมื่อฟังธรรมแล้วก็พร้อมจะปฏิบัติสมณธรรมด้วยความพากเพียร พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกที่จะอุบัติในชมพูทวีป ตามพุทธประเพณีที่พระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์ก็ทรงอุบัติในทวีปนี้

พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาประเทศ พระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์อุบัติในมัชฌิมประเทศ พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกสักกชนบทเป็นสถานที่เกิด

พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาตระกูลต่อไปว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์อุบัติในตระกูลสูง คือ กษัตริย์หรือพราหมณ์ เวลานี้โลกยกย่องตระกูลกษัตริย์มากกว่าตระกูลพราหมณ์ พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกศากยะราชตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัส ดุ์

พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณามารดาว่า ผู้จะเป็นพุทธมารดานั้นต้องเคยตั้งความปรารถนาขอเป็นพุทธมารดามาก่อน และบำเพ็ญบารมีมาครบแสนกัปบริบูรณ์แล้ว พิจารณาแล้วจึงทรงเลือกพระนางสิริมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพุทธมารดา

พระมารดา ทรง พิจารณาเห็นว่า พระนางสิริมหามายามีศีล และบารมีธรรม สมควรเป็นพระมารดาได้ และนับจากเวลาที่พระโอรสประสูติเพียงเจ็ดวัน สัตว์อื่นไม่อาจอาศัยคัพโภทร (ครรภ์, ท้อง) บังเกิดได้อีก เพราะพระมารดาได้ทิวงคต

ครั้นพระ โพธิสัตว์ทรงเห็นว่าสถานะทั้งห้านั้นครบบริบูรณ์แล้ว จึงทรงรับปฏิญญาณ แล้วเสด็จไปยังนันทวันอุทยานในดุสิตเทวโลก และจุติลงสู่ปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา พระอรรคมเหสีพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ในวันอาสาฬหปูรณมี เพ็ญเดือน ๘

ในสมัยพุทธกาลพระโมคคัลลานะเคยหลงทวีปดังนี้

พระมหาโมคคัลลานะเถระ พบพระพุทธเจ้า ในจักรวาลอื่น

ความเป็นมา เล่าถึงตั้งแต่ เหตุการณ์เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เมื่อพระมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระน้านางแห่งองค์สมเด็จศรีศากยะมุนึสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีพระทัยชื่นชมโสมนัสยินดี ได้จัดทำผ้าเนื้อละเอียดมีค่ามาก ด้วยวิริยะอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ ด้วยน้ำพระทัยเจาะจงถวายแด่องค์สมเด็จพระศาสดา แต่เมื่อได้
นำผ้านั้นมาน้อมถวาย พระองค์ไม่ยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ผันผายหันไปจะถวายแด่องค์อรรคสาวกทั้งสอง แต่ก็ไม่รับเช่นกัน
แล้วพระนางก็น้อมถวายแด่พระเถรานุเถระพระสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดรับผ้านั้น จวบจนกระทั่งถึงภิกษุใหม่รูปหนึ่ง นามว่า " อชิตะ"
นั่งอยู่ข้างท้ายปลายแถว ในที่สุด ท่านก็รับผ้านั้น สร้างความเสียพระทัยให้แก่พระนางเป็นอันมาก หากแม้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ
แต่องค์อรรคสาวกทั้งสองท่านใดท่านหนึ่งรับ

ก็คงจะสมพระทัยอยู่ไม่น้อย แต่นี่กระไร พระภิกษุบวชใหม่ ไม่ได้สำเร็จมรรคผลใด ๆ เป็นผู้รับ พระบรมศาสดา เพื่อจะเปลื้องความกังขาสงสัยในน้ำพระทัย
ของสมเด็จพระน้านางแห่งพระองค์ที่ ได้เคยฟูมฟักรักษาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงได้ทรงอธิษฐานบาตรของพระองค์ให้อัตรธานหายไป
แล้วได้ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่าท่านผุ้ใดสามารถหาบาตรของตถาคตเจอบ้าง ก็เห็นแต่
พระมหาโมคคัลลานะเถระ องค์เดียวที่มีฤทธิ์มาก จึงห่มผ้าเฉลียงบ่าประคองอัญเชิญทูลพระชินศรีบรมศาสตา เพื่อออกแสวงหาบาตรใบนั้น
การหาบาตรของพระมหาโมคคัลลานะเถระ การออกไปหาบาตรของพระเถระนั้น ได้ใช้มหาฤทธานุภาพเป็นอันมาก หลวงปู่ตื้อ อาจารธมฺโม
ได้เล่าในการแสดงพระธรรมเทศนาที่วัดอโศการามว่า พระมหาโมคคัลลานะเถระนั้น ต้องใช้ฤทธิ์ของท่านระเบิดวงล้อมแห่งจักรวาลออกไป
อาจารย์ นายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง ได้เล่าเรื่องนี้ ไว้ในการบรรยาย "วิชามหายาน" ของท่าน ในสมัยที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมศาสนศาสตร์
มหามกุฏราชวิทยาลัย ว่า "พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระว่า เมื่อท่านออกห่างจากชมพูทวีปไป เมื่อหันมามองดูชมพูทวีปเห็นเท่าผืนนา
ของชาวมคธแล้วให้รีบกลับมา หรือไม่หากท่านไปไกลกว่านั้น จนกระทั่งที่สุดเห็นชมพูทวีปเป็นจุดเล็ก ๆ แล้วให้รีบกลับมา"
เมื่อได้กราบทูลลาพระพุทธองค์แล้ว พระเถระก็ออกเดินทางแสวงหาบาตรไปทั่วสากลภิภพ ไกลออกไปจนพ้นเขตจักรวาล แดนสุขาวดีพุทธเกษตร
การหาบาตรดำเนินไปทั่วสากลจักรวาล ลุถึงแดนหนึ่งที่เรียกว่า " สุขาวดีพุทธเกษตร" เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข ในดินแดนแห่งนี้มีแต่การศึกษาธรรมะ
แม้แต่เสียงนกที่ร้องออกมาก็เป็นธรรมะ ณ ดินแดนแห่งนี้เอง มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งดำรงอยู่ ทรงพระนามว่า " อมิตาภะพุทธเจ้า"
ขณะนั้น พระพุทธองค์กำลังประทับอยู่ท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก พระวรกายใหญ่โตมาก พระโมคคัลลานะเถระ ได้เหาะเข้ามาในที่ประชุมสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ได้เข้าไปยืนอยู่บนขอบบาตรของพระพุทธเจ้า

( แสดงว่าบาตรให้ใหญ่โตมาก สามารถขึ้น ใปยืนอยู่บนขอบบาตรนั้นได้) พร้อมประคองอัญชุลีถวายความเคารพ เมื่อพระภิกษุทั้งหลายเห็นเช่นนั้น
ก็ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "นี่คืออะไรหนอ รูปร่างเล็ก ๆ " พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่ไม่ใช่อื่นไกลเลย เธอทั้งหลายอย่าได้ประมาท
ภิกษุรูปนี้ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระสมณโคดมพุทธเจ้าแห่งชมพูทวีป ผู้มีฤทธิ์มาก กำลังแสวงหาบาตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นอยู่ แล้วก็หลงเข้าสู่แดนของเรา
จากนั้น พระมหาโมคคัลลานะเถระได้ทูลถามทางที่จะกลับสู่ชมพูทวีป พระอภิตาภาะพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรโมคคัลลานะ เธอจงไปตามพุทธรัสมีแห่งเรา
เมื่อพ้นขอบจักรวาลแห่งนั้น เธอก็จะเห็นพุทธรัสมีแห่งพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้เธอตามพระพุทธรัศมีนั้นไป เธอก็จะสามาถเข้าสู่ชมพูทวีปได้
เหตุการณ์ตอนนี้เองที่คนทั้งหลายกล่าวกันว่า " โมคคัลลาหลงทวีป" คือหลงแดน(หาทางกลับไม่ได้)นั่นเอง เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสแห่งองค์อภิตาภะพุทธเจ้าเช่นนั้นแล้ว
พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็ได้กราบทูลลาออกจากแดนสุขาวดีพุทธเกษตร ตามพระพุทธรัศมีแห่งพระองค์ เมื่อพ้นจากแดนสุขาวดี
ก็เห็นพระพุทธรัศมีแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย เข้าสู่ชมพูทวีปแล้ว เข้าถวายอภิวาทพระบรมศาสดาทูลว่า
ข้าพระองค์ได้ออกแสวงหาบาตรไปทั่วแดนจักรวาลไม่พบเห็นเลยพระเจ้าข้า เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามพระภิกษุรูปอื่น ๆ ก็ไม่มีผู้ใด สามารถหาบาตรพบได้
จนถึงภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่งชื่ออชิตะ ยังไม่ได้บรรลุฌานอภิญญาเหาะเหินเดินอากาศก็ไม่ได้ จึงได้ออกไปยืนพร้อมอธิษฐาน
ว่าขอให้บาตรของพระพุทธองค์จงปรากฏบนมือของข้าพเจ้าบัดนี้เถิด พลันบาตรของพระพุทธองค์ก็ปรากฏบนมือของท่าน แล้วนำไปถวาย

พระพุทธองค์ตรัสว่า อชิตะภิกษุรูปนี้ ไม่ใช่พระธรรมดา แต่เป็นหน่อเนื้อพุทธรางกูรบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน อนาคตพระนามว่า
" พระศรีอาริยเมตไตรย" แล้วตรัสปลอบใจแด่สมเด็จพระน้านางประชาบดีโคตมีว่า พระองค์นั้นได้ลาภอันประเสริฐแล้วที่ได้ถวายผ้าแด่พระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้
ต่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำให้พระนางมีพระทัยแช่มชื่นเบิกบาน



พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิ

ในครั้งนั้น กรุงกบิลพัสดุ์มีงานนักขัตฤกษ์เดือน ๘ พระนางสิริมหามายาทรงเข้าร่วมงานนักขัตฤกษ์ด้วย จนถึงวันเพ็ญบุรณมี พระนางตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ สรงสนานน้ำหอม บริจาคพระราชทรัพย์สี่แสนเป็นทาน แล้วสมาทานอุโบสถศีล

ราตรีนั้น เมื่อพระนางสิริมหามายาเสด็จเข้าที่บรรทม ทรงมีพระสุบินนิมิตว่า ท้าวมหาราชทั้งสี่มายกพระแท่นบรรทมพาพระนางเหาะไปยังป่าหิมพานต์ มีพระเทวีของท้าวมหาราชทั้งสี่มาช่วยสรงสนานชำระล้างมลทินมนุษย์ในสระอโนดาต ให้ทรงผ้าทิพย์ ลูบไล้ของหอม แล้วพาไปประทับบรรทมในวิมานทอง ลำดับต่อมา มีช้างสีขาวจากภูเขาทอง มาเดินประทักษิณพระที่ไสยาสน์ของพระนาง ๓ ครั้ง แล้วเคลื่อนเข้าสู่พระครรภ์

วันรุ่งขึ้น พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้หาพราหมณ์ ๖๔ คน มาทำนายพระสุบินนิมิต พราหมณ์โหราจารย์กราบทูลว่า พระเทวีทรงพระครรภ์แล้ว เป็นพระครรภ์มหาบุรุษ ถ้าพระโอรสนี้ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าเสด็จออกบรรพชาจักได้เป็นพระพุทธเจ้า

บุรพนิมิต ๓๒ ประการ

ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดานั้น บุรพนิมิต ๓๒ ประการ ก็ปรากฏขึ้นทั่วทั้งหมื่นจักรวาล คือ

๑. มีแสงสว่างแผ่ซ่านทั่วทั้งหมื่นจักรวาล
๒. คนตาบอดมองเห็นได้
๓. คนหูหนวกกลับได้ยิน
๔. คนใบ้กลับพูดได้
๕. คนค่อมกลับหายค่อม

๖. คนง่อยเดินได้
๗. เครื่องจองจำหลุดออกเอง
๘. ไฟนรกกลับดับ
๙. ความหิวกระหายของเปรตวิสัยกลับระงับ
๑๐. สัตว์ดิรัจฉานกลับไม่กลัว

๑๑. โรคทั้งหลายกลับสงบ
๑๒. สรรพสัตว์ทั้งหลายพูดจาน่ารัก
๑๓. ม้าต่างหัวเราะ
๑๔. ช้างต่างร้อง
๑๕. เครื่องดนตรีดังกังวาน

๑๖. เครื่องประดับเปล่งเสียงได้โดยไม่กระทบกัน
๑๗. ทั่วทุกทิศแจ่มใส
๑๘. มีสายลมอ่อนเย็น
๑๙. มีเมฆฝนตกลงมา
๒๐. มีน้ำพุจากแผ่นดิน

๒๑. นกหยุดบิน
๒๒. แม่น้ำหยุดไหล
๒๓. น้ำทะเลมีรสหวาน
๒๔. พื้นน้ำดารดาษด้วยปทุม ๕ สี
๒๕. ดอกไม้ทุกชนิดเบ่งบาน

๒๖. ดอกปทุมชนิดลำต้นก็บานที่ลำต้น
๒๗. ดอกปทุมชนิดกิ่งก็บานที่กิ่ง
๒๘. ดอกปทุมชนิดเครือเถาก็บานที่เครือเถา
๒๙. ดอกปทุมชนิดก้านก็ชำแรกพื้นศิลาทึบเป็นดอกบัวซ้อนๆ กันออกมา
๓๐. ดอกปทุมชนิดห้อยในอากาศก็บังเกิดขึ้น

๓๑. ฝนดอกไม้ตกลงมารอบด้าน
๓๒. มีเสียงดนตรีทิพย์บรรเลงในอากาศ






และในขณะนั้นเอง สหชาติของพระโพธิสัตว์ ๗ ประการ ก็พลันอุบัติขึ้นพร้อมกัน คือ
๑. พระนางพิมพา คู่พระบารมี
๒. พระอานนท์ พระอุปัฏฐาก
๓. นายฉันนะ ผู้นำเสด็จบรรพชา

๔. กาฬุทายีอำมาตย์ พระสหายสนิท
๕. ม้ากัณฐกะ ม้าเสด็จบรรพชา
๖. ต้นมหาโพธิ์ ต้นไม้ตรัสรู้
๗. ขุมทรัพย์ทั้งสี่

ครั้นประสูติพระราชโอรสแล้ว พระนางสิริมหามายาจึงเลิกขบวน เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์

ที่มา : - อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ทูเรนิทานและอวิทูเรนิทาน
- มหาปทานสูตร





ประกาศอาสภิวาจา

พระโพธิสัตว์ประทับยืนบนแผ่นดิน ทอดพระเนตรตรวจดูทั้ง ๑๐ ทิศ คือ ทิศใหญ่ทั้งสี่ ทิศเล็กทั้งสี่ ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องล่าง แลตลอดไปทั้งหมื่นจักรวาล ไม่แลเห็นผู้ใดที่จะเสมอเหมือนพระองค์อีก จึงเสด็จดำเนินไปทางทิศอุดร มีท้าวมหาพรหมตามกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามเทพบุตรถือพัดวาลวิชนี เทวดาเหล่าอื่นถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามเสด็จ

พระโพธิสัตว์หยุดประทับยืนที่พระบาทที่ ๗ ทรงบันลือสีหนาทเป็นอาสภิวาจาว่า

อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏโฐ เสฏโฐหมสฺมิ
อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว.

เราเป็นหนึ่ง เราเป็นยอด เราเป็นเลิศประเสริฐสุดในโลกนี้
การเกิดครั้งนี้ของเราเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย
ภพใหม่ต่อไปอีกไม่มีสำหรับเรา
เรื่องนี้จะให้ละเอียดต้องดูจากภาพยนตร์ ต่อไปนี้ ใช้เวลาดู 4 ชั่วโมงเศษ
โครงการภาพยนตร์ "พุทธศาสดา"
เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา มหาราชา

(พุทธศักราช 2546 - 2554 รวมระยะเวลาจัดทำทั้งสิ้น 8 ปี)



ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่มีเจตนาเผยแพร่ทำบุญครั้งนี้ด้วย สาธุ





หมวด: พุทธประวัติ
»หินแกะสลักพระพุทธเจ้าที่อัพกานิสถาน
05-02-2015
»อภินิหารพระโพธิสัตว์
12-01-2013
»พระพุทธประวัติ อีกรูปแบบหนึ่ง
12-01-2013
»พุทธประวัติ 1
12-01-2013
 
หน้าแรก  เกี่ยวกับเราคุณครู.คอม


คุณครู.คอม ขอแสดงเจตนาว่าทุกข้อความใน เว็บไซต์นี้ให้คัดลอกได้
ไม่จำกัด เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อการศึกษาเท่านั้น . .

email  [email protected]


kkwebv56   Copyright©2023 kunkroo.com
Development from SMEweb 1.5f By คุณครู.คอม