แบคไฟร์ ตอน 1-2
คนใช้รถบางท่านอาจจะยังไม่รู้จักอาการนี้ หรือไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามันคืออาการอะไร แบคไฟร์ ถ้าจะเอาความหมายตามศัพท์วิทยาศาสตร์ คือ การจุดระเบิดย้อนกลับ หรือแปลให้เข้าใจไปอีกหน่อยก็คือการเผาไหม้นอกกระบอกสูบของเครื่องยนต์ ขออธิบายสั้นๆ แค่นี้ก่อนนะครับเดี๋ยวจะกลับมาอธิบายเรื่องนี้กันต่อ
ใครที่ใช้รถติดแก๊ส อยากให้อ่านบทความนี้กันให้มากๆ เพราะอาการแบคไฟร์ เป็นสาเหตุแรกๆที่ทำให้รถไฟไหม้ เคยเป็นกันไหมละครับ อาการที่สตาร์ทรถแล้วมีดังปุ๊ก ขึ้นมาคล้ายๆ เสียงประทัดหรือปืนลม บางคนอาจได้ยินบ่อยๆเป็นประจำ แต่ถ้ามีควันลอยออกมาด้วยรับรองว่าขำไม่ออกแน่ๆ เพราะแบบนี้เพียงแค่แป๊บเดียวก็ไฟไหม้แล้ว และยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก ถ้าขับรถอยู่แล้ว อยู่ดีๆก็ดังปุ๊ก พอรอบนี้มีควันออกมาด้วยจากฝากระโปรงหน้ารถ อาการแบบนี้เขาเรียกกันว่าไฟไหม้จากแบคไฟร์
สาเหตุที่มันไหม้และติดไฟ เนื่องจาก จำนวนปริมาณของแก๊ส บวกกับ อากาศ ที่ในท่อไอดี ถูกเครื่องยนต์ดูดผ่านวาล์วไอดี เข้ากระบอกสูบ แต่ด้วยความหนาแน่นของแก๊สน้อย อากาศมาก จึงทำให้ส่วนผสมนั้นลุกติดไฟได้เอง ก่อนที่หัวเทียนจะจุดประกายไฟ และก่อนที่ตัววาล์วไอดีจะปิดสนิทลง เลยทำให้มีเปลวไฟลุกไหม้ย้อนกลับคืนไปจากห้องเผาไหม้ ไปเผาไหม้เพิ่มขึ้นอีกในจุดที่มีส่วนผสมของแก็สกับอากาศคือท่อไอดี และออกมาเป็นเปลวไฟ
ยิ่งถ้าเหยียบคันเร่งไปด้วย ตัวลิ้นปีกผีเสื้อจะเปิดออกอ้าออก จึงทำให้มีโอกาสที่ตัวเปลวไฟวิ่งไปตรงส่วนที่มีปริมาณออกซิเจนมากกว่า นั้นก็คือ หม้อกรองอากาศ และที่แย่กว่านั้นก็คือ ตัวไส้กรองอากาศโดยส่วนใหญ่แล้วจะทำจากกระดาษ ที่ติดไฟได้ง่าย และแถมตัวหม้อกรองก็ทำจากพลาสติกอีก ก็เลยทำให้ไฟติดและแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งความความรุนแรงของไฟจะร้ายแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปริมาณของแก๊ส
แล้วเครื่องยนต์ก็ดับไป สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด พอไม่ติดก็ไปเหยียบคันเร่ง ทีนี้ละครับแก๊สท่วม แล้วพอกดสวิทช์สลับจากแก๊สไปเป็นน้ำมัน เพื่อจะได้ทำให้เครื่องยนต์ติด ทีนี้ดังปุ๊กอีกรอบ
สาเหตุต้นตอที่ทำให้เกิดแบคไฟร์
1. ปรับอัตราส่วนผสมของน้ำมันหรือแก๊สไม่เหมาะสม น้อยหรือบางเกินไป
2. แก๊สใกล้จะหมดแต่ยังจะฝืนที่จะขับต่อ
3. หม้อต้มพังชำรุด จ่ายแก๊สได้ไม่เพียงพอ
4. หัวเทียนเสื่อมสภาพ หมดอายุ
5. ตั้งไฟเผาไหม้ของระบบเบาเกินไป
6. สายหัวเทียนพัง
7. เครื่องยนต์เริ่มหลวม และการที่มีคราบเขม่าในห้องเผาไหม้เยอะเกินไป
8. หัวนกกระจอก ฝากะลา เกิดการสึกหรอมากไป
9. เครื่องยนต์มีปัญหา ระบบวาล์วรั่ว อาการนี้เป็นกันเยอะในรถติดแก๊ส จึงได้มีการแนะนำให้เช็คระบบแก๊ส
10. เกิดจากการกดสลับใช้ชนิดของเชื้อเพลิง แก๊สไปน้ำมัน น้ำมันมาแก๊ส
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแบคไฟร์
1.ถ้าระบบเดิมเป็นแบบมิกเซอร์ แล้วมีปัญหาเยอะ แนะนำให้เปลี่ยนเป็นระบบแก๊สหัวฉีด ซึ่งระบบนี้ตัวป้องกันชั้นดีในการป้องกันแบคไฟร์ เพราะระบบฉีดจะลดปริมาณแก๊สที่สะสมอยูในท่อให้น้อยลง ถ้าตัวเครื่องยนต์เกิดแบคไฟร์ขึ้นมา ก็จะติดไฟแค่นิดเดียว ก่อนที่เครื่องยนต์จะดับ ส่วนที่ควบการจ่ายแก๊สจะตัดการจ่ายแก๊สก่อน
2.ใส่ที่กันแบคไฟร์ หรือเรียกกันบ้านๆตัวกันจาม ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเข้าอุปกรณ์ตัวนี้ ไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดแบคไฟร์ แต่เป็นตัวช่วยลดแรงดันจากแบคไฟร์ ซึ่งจะลดอาการแบคไฟร์ให้เบาลง และลดความเสี่ยงที่เกิดไฟไหม้
ตัวนี้มีโอกาสก็ซื้อเลยครับราคาเบาๆ คุ้มมาก แค่ประมาณ 100-150 บาท ส่วนการติดตั้ง ต้องติดตั้งอยู่หลังลิ้นปีกผีเสื้อหรือเรียกกันคอไอดี ถ้าเอาไปติดในส่วนอื่นก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
3.เปลี่ยนมาใช้กรองอากาศเปลือยแบบแสตนเลส ตัวนี้ก็เหมือนตัวข้อ 2 คือการบรรเทาไม่ได้ป้องกันการเกิดแบคไฟร์ แบบเดิมทั่วไปนั้นจะเป็นกระดาษจึงทำให้ติดไฟง่าย ซึ่งทำให้ลุกลามไปยังหม้อกรองได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งดับช้าก็จะลุกลามไปยังไปยังส่วนอื่นอุปกรณ์อื่นอีก แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาใช้แบบแสตนเลส ได้เยอะทั้งมีเวลาดับไฟและอาการลุกลามก็เป็นไปอย่างช้าๆ จึงมีเวลาให้เราตั้งสติ ตัดสินใจได้
ในส่วนของราคาจะอยู่ราวๆ 1,500 ถึง 2,000 บาท แต่ที่จะช่วยมากหรือไม่ต้องดูว่าในส่วนที่เราติดตั้งห่างจากเชื้อเพลิง และอุปกรณ์อื่นมากแค่ไหน แต่อาจจะมีการดักฝุ่นได้น้อยลงไปบ้างแต่เปลี่ยน มาใช้ก็นับว่าคุ้มกว่าอยู่ดีในเรื่องความปลอดภัย
4. เปลี่ยนหัวเทียนเป็นแบบคุณภาพสูง หัวเทียนนับว่าเป็นจุดที่บอบบางมาก ยิ่งถ้ารถเราใช้เป็นรถติดแก๊ส ต้องใช้อุณหภูมิเผาไหม้สูงกว่า น้ำมัน จึงทำให้อายุของหัวเทียนของรถที่ใช้แก๊ส นั้นสึกหรออย่างรวดเร็วกว่า พอสึกหรอไปมากๆ เขี้ยวหัวเทียนก็จะเริ่มห่างเยอะขึ้น ก็จะทำให้การจุดประกายไฟระเบิด ได้ช้าลง ทำให้ แก๊ส กับ อากาศ เกิดการสันดาปก่อนที่เขาเรียกกันว่า การชิงจุดระเบิด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแบคไฟร์ได้บ่อยได้ง่าย
หัวเทียนแบบอย่างดี ในที่นี้คือหัวเทียนเขี้ยวแบบ Platinum หัวเทียน G-power Iridium ราคาหัวหนึ่งตกอยู่อันละประมาณ 120--450 บาท หัวเทียนพวกนี้จะอายุการใช้ยืนยาวมากกว่า การจุดระเบิดดีกว่า แถมช่วยลดความเสี่ยงแบคไฟร์ลงอีก
5. ดูแลเช็คสภาพอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบแก๊ส จุดที่มีความเสี่ยงการเกิดแบคไฟร์ โดยมีดังนี้
ก. หม้อต้มแก็ส ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี และจะเริ่มเสื่อมสภาพ วิธีสังเกตุหม้อต้มเราเริ่มจะชำรุดแล้ว ถ้าเครื่องเริ่มอืด เดินเบาแล้วไม่นิ่ง เครื่องดับ หรือต้องมานั่งปรับนั่งจูนหม้อต้มบ่อยๆ เพราะหม้อต้มเริ่มจ่ายแก๊สน้อย และถ้าเราใช้หม้อต้มที่คุณภาพไม่ดี หม้อต้มก็จะอายุสั้นเข้าไปอีกอาจจะไม่ถึงปี หรือเพียงไม่กี่เดือนผ้าหย่อน หม้อต้มรั่ว ถึงขั้นอาจถึงรั่วมาก ออกมาเป็นควันเลยก็มี เพราะฉะนั้นตอนซื้ออย่าเอาราคาเป็นตั้งในการตัดสินใจเพียงอย่างเดียว
ข. มิกเซอร์ ถ้าติดแบบวาริเอเบิล ตัววาริเอเบิลจะใช้แผ่นไดอะเเฟรม เป็นตัวควบคุมค่าจ่ายแก๊ส ถ้าตัวแผ่นนี้เริ่มหย่อนก็จะมีการจ่ายปริมาณ แก๊สผิดเพี้ยนทันที แบบธรรมดาก็เช่นกัน ก็มีการจ่ายแก๊สเพี้ยนได้เหมือนกัน ต้องสังเกตุดูว่าจุดที่ติดตั้งว่ามีการหลุดร่อนหรือไม่
ค. ท่ออากาศ ต้องดูตั้งแต่ ท่อที่ต่อจากหม้อกรองอากาศเข้าลิ้นปีกผีเสื้อ มิกเซอร์บางตัวฝังอยู่ในท่อนี้ ท่อถ้าแตก หรือเหล็กมันคลายตัว อากาศจะรั่ว และทำให้มิกเซอร์จ่ายแก๊สได้ไม่ดี เบาลง และอย่าลืมดูท่ออากาศรอบๆ เครื่องยนต์ สายลมหม้อเบรก ท่อน้ำมันเครื่อง สายแว็คกรั้ม ด้วย ถ้ามีอาการรั่วขึ้นมา เครื่องมันจะไปดูดอากาศเข้ามาจากรอยที่รั่วๆนั้นแหละครับ และเป็นสาเหตุทำให้เป็นแบคไฟร์ได้
ง. แลมด้า หรือที่เรียกกันวาล์วปรับกลาง หน้าที่ของมันคือเป็นตัวควบคุมปริมาณการจ่ายแก๊สโดยตรง คอยควบคุมส่วนผสมให้ได้ลงตัว ควรตรวจดูเช็คความแน่นหนาของท่อยาง อย่าให้มันบิดมันงอ หรือแฟ่บเพราะมีผลต่อการจ่ายแก๊สทั้งนั้น และร่วมถึงตัวเราเองที่ไปตั้งค่าความเบาความแรงของแก๊สใหม่ด้วยถ้าตัวเรายังขาดความชำนาญอย่าไปปรับเองลองไปปรึกษาช่างที่ติดแก๊สก่อนดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดแบคไฟร์
ถ้ารถเกิดแบคไฟร์ขึ้นมาต้องทำอย่างไร
1. มีอาการแบคไฟร์ ตั้งแต่สตาร์ทครั้งแรก ปัญหานี้ส่วนมากเกิดจาก ระบบออโต้ที่สตาร์ทด้วยน้ำมัน ในขณะที่มีแก๊สหลงเหลืออยู่ในระบบจากการขับเมื่อครั้งก่อน สั้นๆ คือแก๊สค้างท่อนั้นเอง และอีกสาเหตุเกิดจากอุปกรณ์แก๊สมีการชำรุดเสียหาย หรือเครื่องยนต์ชำรุดมีปัญหา จึงได้เกิดแบคไฟร์
วิธีแก้ไข ให้รีบเปิดฝากระโปรงรถมาดู มามีควันไฟเกิดขึ้นที่หม้อกรองอากาศหรือเปล่า ถ้าไม่มี ให้เว้นพักไปไว้ชั่วคราวก่อนแล้วค่อยกลับไปสตาร์ทใหม่ ถ้าไม่ติดอีก หรือเป็นแบคไฟร์อีก ให้หยุดการสตาร์ทไว้เพียงแค่นี้ เพราะต้องมีปัญหากับระบบเครื่องยนต์หรือระบบแก๊สแน่ๆ แล้วถ้าใช้พวกเครื่องรถยุโรป เครื่องยนต์ไดเร็คคอยล์บางรุ่น อาจจะมีปัญหาแบคไฟร์ได้ทุกครั้งถ้าไม่ได้ใช้แก๊สระบบหัวฉีด
2. เป็นตอนที่เปลี่ยนใช้พลังงานจากน้ำมัน ไปเป็นแก๊ส ซึ่งส่วนมากจะเป็นระบบออโต้ เกิดได้จาก รอบเครื่องที่เปลี่ยนเป็นแก๊สนั้นต่ำเกินไป ,ระบบแก๊สมีปัญหา,เครื่องยนต์มีปัญหา อากาศในข้อนี้เสียงปุ๊กมันดังมาก และรุนแรงมีโอกาสเกิดไฟไหม้ได้สูง เพราะปริมาณของแก๊สต้องเกิดแบคไฟร์มีสูง
วิธีแก้ไข รีบจอดรถ เปิดฝากระโปรง ถ้ามีควันไฟให้รีบดับไฟ ถ้าไม่มีไปดูที่ห้องเครื่อง และตัวอุปกรณ์แก๊ส พร้อมสำรวจหา ดมกลิ่นแก๊ส ถ้าได้กลิ่นแก๊สฉุนแรงห้ามสตาร์ทรถต่อเพราะแก๊สรั่วแล้ว ให้รีบไปดับกุญแจรถและถอดขั่วแบตรถออก และถอยห่างจากรถ
3. เกิดจากตอนขับอยู่ปกติ แล้วเกิดดังปุ๊กแต่เครื่องยนต์ไม่ได้ดับ เกิดมาจากการปรับส่วนผสมจางเกินไป แต่ถ้าขับต่อไปแล้ว แบคไฟร์เสียงดังขึ้น แล้วเครื่องดับ
วิธีแก้ไข ให้รีบจอดรถเลยทันที เปิดฝากระโปรง ทิ้งไว้ซักพักให้แก๊สมันสลายตัว แล้วค่อยสตาร์ทใหม่ ลองทำอีก2-3ครั้ง แต่ไม่ควรเหยียบคันเร่ง แล้วสตาร์ท เพราะแก๊สมันจะท่วมและทำให้ติดยาก และไม่ควรกดระบบแก๊ส น้ำมันสลับกันไปมาในช่วงสตาร์ท เพราะจะเสี่ยงมากถึงขนาดรถไฟไหม้ได้
ขอบคุณ http://www.toyotanon.com/article_detail.phparticle_id=235