ไชน่า เดลี่ – รพ.ในฉงชิ่งเผยตรวจพบเด็กจีนอายุเพียง 12 ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หลังผู้ปกครองปล่อยให้กินฟาสต์ฟูด
และน้ำอัดลมทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน ชี้ปัจจุบันเด็กและวัยรุ่นจีนป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานในจีนปี 56 ก็มีมากถึง 114 ล้านคน
เว็บไซต์ cqwb.com.cn ของหนังสือพิมพ์ฉงชิ่งหว่านเป้าเผยแพร่รายงานเนื่องในวันเบาหวานโลก 14 พฤศจิกายน57
ว่า ล่าสุดมีการตรวจสอบว่าเด็กชายชาวฉงชิ่งวัยเพียง 12 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานหลังจากที่ถูกปล่อยให้ท่านอาหารฟาสต์ฟูด
ต่อเนื่องกันทุกวันเป็นเวลาสามเดือน
สำหรับเด็กชายคนดังกล่าวมีชื่อเล่นว่า “หลินหลิน” โดย หลินหลินชอบทานอาหารฟาสต์ฟูดมาแต่อ้อนแต่ออก
ทว่า คุณแม่แซ่เติ้งของเขาก็พยายามควบคุมปริมาณการกินของบุตรชาย จนกระทั่งในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
เมื่อแม่ต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างเมือง หลินหลินจึงได้โอกาสรับประทานฟาสต์ฟูดพร้อมกับน้ำอัดลมทุกวันอย่างต่อเนื่อง
กระทั่ง 3 เดือนให้หลัง หลินหลินก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 5 กิโลกรัม มีอาการกระหายน้ำตลอดเวลา ทั้งยังต้องเข้าห้องน้ำบ่อยผิดปกติ
เมื่อผู้ปกครองพาไปพบแพทย์ แพทย์ทำการตรวจอาการและยืนยันว่าหลินหลินซึ่งอยู่ในวันเพียง 12 ขวบ
เป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากรับประทานอาหารฟาสต์ฟูดมากเกินไป
นพ.หยาง เจิ้นเฉิง แพทย์ประจำโรงพยาบาลต้าผิง ในฉงชิ่ง ระบุว่า สถิติจำนวนเด็กที่เป็นโรคเบาหวาน
เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ รพ.ต้าผิงนั้นทุกๆ เดือนมีคนไข้โรคเบาหวานเข้ารับการรักษามาก
ถึง 4,500 ราย โดยในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 10 เป็นเด็กวัยรุ่น
นพ.หยางชี้ให้เห็นด้วยว่า สาเหตุหลักของการเป็นโรคเบาหวานนั้นเกิดจากคนไข้บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง
มีไขมันสูง และขาดการออกกำลังกาย พร้อมกันนั้นยังแนะนำด้วยว่าผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างให้ลูกหลาน
ในการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะควบคุมการรับประทานอาหาร หรือถ้าเลิกดื่มน้ำอัดลมไปเลยได้ยิ่งดี
ทั้งนี้เด็กที่มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus, GDM) ก็มีโอกาสที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่สอง
(Type-2 diabetes) ดังนั้นการป้องกันโรคเบาหวานในเด็กจึงต้องเริ่มตั้งแต่ขณะที่มารดาตั้งครรภ์ โดยการควบคุมน้ำหนัก
และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นพ.หยางระบุ
จากข้อมูลของสถานีวิทยุแห่งชาติจีน สถิติในปี 2556 ระบุว่าจีนมีประชากรป่วยเป็นโรคเบาหวานมากถึง 114 ล้านคน
โดยคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 1 ใน 3 ของผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกเลยทีเดียว