มะเร็งตับอ่อน และท่อน้ำดี ก็หายได้ด้วยฟักข้าวเป็นพระเอก

มะเร็งตับอ่อน/ท่อนำ้ดี หายได้ เพราะฟักข้าว

เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงเฉียดตาย ของผู้อำนวยการโรงเรียนคนหนึ่งในภาคอีสานตอนบน เมื่อปี 2556 คือเป็นมะเร็งตับอ่อนและท่อน้ำดี
หมอบอกญาติแล้วว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน อยากทำอะไรก็ทำซะ อยากกินอะไรก็กินซะ ประมาณนั้น หลังจากนั้น
ได้ไปรักษาหลายที่ รวมทั้งผ่าตัด และทำคีโมตามแบบของแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ไม่ลืมที่จะใช้ฟักข้าว ซึ่งเป็นพืชสมุนไพร
ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมาช่วยอีกแรง จนฟักข้าวกลายเป็นพระเอกของเรื่องนี้ที่ช่วยยืดชีวิตเพื่อให้ได้ทำความดีต่อไป
บัดนี้ ผอ.โรงเรียนคนนั้น ยังคงมีชีวิต รับราชการ
ทำความดีให้กับประเทศชาติบ้านเมืองมาจนทุกวันนี้
ในขณะที่ร่างการแข็งแรงสมบูรณ์ดี ในปี 2559 เป็นเวลา ย่างเข้าปีที่ 4
น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ข้อความต่อไปนี้คือคำบอกเล่าจาก ผอ.ถาวร พุฒเขียว ผู้เคยป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนและถุงน้ำดีเฉียดตายมาแล้ว
จะเล่าเรื่องของตนเองที่ต่อสู้กับตวามตายที่อยู่ตรงหน้าจนชนะ เพื่อเป็นวิทยาทานต่อสาธารณะ

นายถาวร พุฒเขียว

อาการของโรคเกิดขึ้นเมื่อไหร่?

เกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่ทราบแน่ชัด แต่อาการที่เริ่มรู้ตัว 2 กันยายน2556 ผมไปกทม.กับอ.ไพรินทร์พุฒเขียว ภรรยาไปเยี่ยมชมการเปิดตัวรถยนต์ อีซูซุ รุ่นใหม่
(ภรายาเป็นซูเปอร์แฟน)พอภาคกลางคืนก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์โดยบริษัทอีซูซุ ผมก็กินอาหารเกือบทุกอย่างเพราะอยากลองอาหารญี่ปุ่น มีหนึ่งในนั้นคือปลาดิบ
หลังจากนั้นก็กลับนอนที่โรงแรมซึ่งทางบริษัทอีซูซุเขาจัดเตร่วมไว้ให้ ก่อนนอนก็อาบนำ้ทาแป้ง ผมเริ่มมีอากาคันตามตัว คล้ายๆคนกินของผิดสำแดง/หรือของแสลง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อีกประมาณ 2 สัปดาห์ก็มีการประชุมกลุ่มเครือข่าย เมือง2 ที่โรงเรียน ตอนเย็นมีงานเลี้ยงเพื่อนๆให้ผมดื่มเหล้า อาการคันตามตัวเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้คันมากกว่าเดิม ผมจึงขอยาแก้แพ้ จากครูอนามัยโรงเรียนมากิน คิดว่าตัวเองแพ้อาหาร ะไรสักอย่าง แต่อาการคันก็เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
เหงื่อออกตรงไหนที่นั่นก็คันไปหมด มาทราบตอนหลังว่า เพราะว่า นำ้ดีไม่สามารถออกไปได้มันจึงกระจายไปดันออกตามรูขุมขน /
จากนั้นเริ่มตาเหลืองโดยการสังเกตุตัวเองตอนขับรถยนต์มองที่กระจกมองหลังเห็นหน้าตัวเองแล้วตกใจ
จากนั้นก็ไปพบหมอที่คลินิคในจังหวัด ในรอบแรกหมอบอกว่าอาการแพ้ ก็ให้ยาแก้แพ้โดยการฉีดและให้ยามากินตามอาการ อาการก็ไม่ดีขึ้น

กลับพบหมอคนเดิมครั้งที่สอง หมอทำการอุลตร้าซาวด์ หมอบอกว่าเป็นตับอักเสบ
และให้ยามากินอาการก็ไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจไปหาหมอพิศาล ไม้เรียง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์หมอที่ โรงพยาบาลศรีนครินทรวิโรฒขอนแก่น

โดยไปที่คลีนิคของท่านก่อนทึ่ บ.ข.ส.ใหม่ขอนแก่น หมอทำการตรวจโดยการอุลต้าซาวน์เจาะเลือดผลออกมาบอกว่าตับไม่ได้อักเสบ ตับปกติ แต่ก็ยังไม่มั่นใจ
หมอจึงแนะนำให้ไปหาโรงพยาบาลที่ทำการจ่ายตรงที่โรงพยาบาลไหนก็ให้กลับไปพบหมอที่ร.พ.นั้นเพราะให้หมอสั่ง ไปทำ MRI
จึงจะสามารถนำใบเสร็จมาเบิกได้ ถ้าเราไปทำเองก็ไม่มีสิทธิ์เบิกโดยหมอพิศาล ไม้เรียง นัดอีก 22 พ.ย. 56
ผมจึงกลับมาทึ่โรงพยาบาลอุดรธานี เข้าหมอศัลยกรรมเพื่อให้หมอสั่งทำ MRI และนัดอีกหนึ่งสัปดาห์มาพบหมอ พร้อมทั้งนำแผ่น MRI

แผ่น MRI ที่เห็นรูปตับอ่อนบวมเป่งเกือนแตก

มาด้วย หมอก็บอกว่าวิธีรักษามี 2 วิธี คือทำการผ่าตัด กับรักษาตามอาการ หากจะผ่าตัดแนะนำให้ไปผ่าที่ ร.พ.ศรีนครินทรวิโรฒ ผมบอกหมอว่าผมจะมาผ่าตัดที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จ.หนองคาย
หมอก็บอกว่าโรงพยาบาลนี้เขาทำได้หรือ?(ที่จริงแล้วโรงพยาบาลนี้เก่งมีชื่อเสียงเรื่องผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี) พูดทำนองว่าโรงพยาบาลเล็กๆจะทำได้หรือฯ(ผมดูแผ่นMRI เห็นถุงนำ้ดี มันป่องเต็มคล้ายมันใกล้จะแตก เหมือนมีะไรไปอุดตัน
ทำให้นำ้ดีเดินทางไม่สะดวก มันจึงออกมาตามรูขุมขน จึงทำให้คันและที่ชัดเจนที่สุดคือ ตาขาวจะเหลือง ตัวดำคล้ำ)
ช่วงที่รอหมอนัดนั้นได้ไปหาหมอคนแรกที่จังหวัด อีกรอบหมอเรียกญาติคนไข้ (ภรรยา)ไปพบและบอกว่าคนไข้อยู่ได้ไม่เกิน สามเดือน(ผมไม่ทราบมาทราบภายหลัง)
ในระหว่างนั้นลูกชายซึ่งเคยเรียนที่มหวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์เคยเห็นพ่อของเพื่อนป่วยเป็นโรคลักษณะเดียวกันกับผมดื่มน้ำฟักข้าวแล้วหาย จึงแนะนำให้พ่อดื่ม(บังคับ)

วิธีดื่มคือ แบบสำเร็จรูปมีขายทั่วไป(นำ้ฟักข้าวครูอุไร ที่แม่ฮ่องสอน) วิธีที่สองคือนำฟักข้าวมาคว้านเอาเฉพาะสีแดงๆที่คิดกับเมล็ดเท่านั้นมาคั้นแล้วนำมาผสมกับข้าวเวลาเราหุงหรือนึ้งข้าวจะออกสีแดงๆ
(ให้ใช้เฉพาะพอกินเท่านั้นเพราะถ้าทำทีละมากๆข้าวจะบูด)หรือจะปั่นดืมเองก็ได้ โดยเฉพาะฟักข้าวไม่มีรสชาดอะไร(มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อมะเร็ง ไม่ใช่ยารักษา)
นำมาผสมกับนำ้เสาวรส(มีรสเปรี้ยว)ผสมนำ้ตาลและเกลือเล็กน้อย ต้มให้เข้าส่วนกัน ไม่ใช่ปั่นดื่มสดๆนะครับ
ข้าวที่นำมาหุงให้ผมกินนั้นมี
๑.ข้าวขาวมะลิ
๒.ข้าวสังหยด
๓.ข้าวหอมนิล
๔.ข้าวมะลิดำ/แดง.
๕.ข้าวพวงเงิน
๖.ข้าวกล้องทั่วไป ฯลฯ
ต้องขอบคุณภรรยาและลูกๆพร้อมคุณหมอและผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ในขณะเดียวกันก็สั่งยาสมุนไพรอภัยภูเบศมากินเสริม
ช่วงนั้นมีข่าวเกี่ยวกับการนำใบทุเรียนเทศมาต้มดื่มแก้โรคมะเร็ง แต่ผมก็ดื่มแต่นำ้ฟักข้าวอย่างเดียว
ช่วงนั้นได้ปรึกษาหารือกันกับภรรยาและลูกๆว่าเราจะไปรักษาที่ไหนดีเพราะถ้ารอไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ หมอนัดยาวกว่าจะได้คิวรักษาคงตายก่อน รวมทั้งญาติๆที่จะไปดูแล/
เฝ้าไข้ก็พลอยจะลำบากไปด้วยรวมทั้งการเดินไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก
เราควรไปหาหมอที่ ร.พ.สมเด็จพระยุพราชท่าบ่อดูก่อนดีไหมเห็นเขาผ่าตัดถุงนำ้ดี(ถือว่าเชี่ยวชาญเลยละ) จึงตัดสินใจไป ร.พ.สมเด็จทพระยุพราชบ่อ จ.หนองคาย และขอพบหมอศัลยกรรมโดยเฉพาะ ผมเป็นคนโชคดีที่บังเอิญ
นายแพทย์เฉลิมพล บุญมี ได้ย้ายมาจากโรงพยาบาลร้อยเอ็ดมาอยู่ ร.พ.สมเด็จพระยุพราชบ่อพอดี และได้พูดคุยกับว่าเคสผมนี้ทำได้หรือเปล่าหมอบอกว่าทำได้ แต่ก็ 50:50นะ
ผมจึงตัดสินใจให้หมอผ่าแต่ก่อนผ่าต้องทำตามคำแนะนำของหมอคือต้องเดินออกกำลังกายให้มากๆ เพราะเป็นเคสใหญ่ ซึ่งในวันที่ 21 ตุลาคม 2556
ซึ่งหมอนัดคนไข้รอผ่าตัดถุงนำ้ดีประมาณ 20-30คนผมเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่เวลา09.00-17.00น
(วันเดียวกันกับวันที่สมเด็จพระสังฆราชสวรรคต)และได้นอนพักรักษาที่ร.พ.สมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ13 วันในช่วงนั้นทางโรงพยาบาลได้นำชิ้นเนื้อส่งไปตรวจจะต้องรอฟังผลอีกหนึ่งสัปดาห์
อวัยวะที่หมอตัดออกนั้นมี
๑.ตับอ่อน
๒.ถุงนำ้ดี
๓.ลำใส้อ่อน(บางส่วน)และ
๔.กระเพาะอาหาร(บางส่วน)
หลังออกจากโรงพยาบาล หนึ่งสัปดาห์กลับไปฟังผล
"คุณเป็นมะเร็งตับอ่อนเดี๋ยวหมอจะส่งตัวไปที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรนะ"
ผมได้แต่พูดว่า "ครับ"
หมอบอกให้เอาแฟ้มประวัติการรักษาไปด้วยนะ(ผมกลับมาเปิดดูผลการตรวจว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะที่ 3.7
วันแรกที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี หมอก็ไปชั่งนำ้หนัก/เจาะเลือด/วัดความดัน พอเข้าตรวจหมอบอกว่านำ้หนักตัวน้อยเกินไปเข้าเคมีบำบัดไม่ได้ต้องกลับไปกินอาหารให้นำ้หนักเพิ่มมากกว่านี้ก่อนจึงจะเข้ายาได้
(ภรรยาเข้าใจว่าคงเป็นวาระสุดท้ายแล้วที่หมอบอกอยากกินอะไรก็ได้ ก่อนตาย คงประมาณนั้น)

มีข้อห้ามเกี่ยวกับอาหาร
๑.เครื่องดื่มแอลกอฮอร์
๒.อาหารปิ้งย่าง
๓.อาหารจำพวกหมักดอง
๔.อาหารสุกๆดิบๆ
นอกนั้นกินได้หมด ออกจากโรงพยาบาลมาผมล่อก๋วยเตี๋ยวเป็ดเลยครับ(หมอไม่ได้ห้าม)
27 พฤศจิกายน 2556 จากนำ้หนัก 44 กิโลกรัม เป็น 47 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 3กิโลกรัม
และได้ทำเคมีบำบัด(คีโม)18 ครั้ง โดยเข้าสามสัปดาห์ พักหนึ่งสัปดาห์จนครบครั้งสุดท้าย1พฤษภาคม2557 ทุกครั้งที่ทำเคมีบำบัดจะต้องเจาะเลือดวัดความดันและนำผลเลือดที่ตรวจไปให้หมอทุกครั้ง
ในระหว่างที่นำผลเลือดไปให้หมอนั้นผมนำใบผลเลือดไปถ่ายเอกสารเก็บไว้ทุกครั้ง(คนไข้ส่วนมากจะไม่สนใจในส่วนนี้)ส่วนผลก็ได้นำผลมาดูว่าในรอบสัปดาห์ที่ให้เคมีบำบัดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
"ลืมบอกไปผมนำขวดนำ้ฟักข้าวไปให้หมอดูด้วยว่าดืมได้ไหม หมอกว่าดื่มได้ แต่ห้ามคือระหว่างทำเคมีบำบัดนี้ยาสมุนไพรห้ามเด็ดขาด"

ผมดื่มนำ้ฟักข้าวตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผลเลือดที่มีเครื่องหมาย*
(ดอกจันทร์)ค่อยๆหายไป ดูได้เท่าที่ดูเพราะไม่มีความรู้เพราะไม่ใช่แพทย์ครับ
หลังจากนั้นหมอก็นัดตรวจทุกสามเดือน/หกเดือน ผมขอทุกสามเดือนครับ

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง
๑.ทำตัวตามสบาย/ไม่ให้เครียด(มองโลกในแง่ดี)
๒.อาหาร หมักดอง ปิ้งย่าง สุกๆดิบของทอดหรือมัน เหล้าบุหรี่งด
๓.กินพืชผักสวนครัวที่ปลอดสารเคมี
๔.ออกกำลังกายตามสมควร
๕.พักผ่อนให้เพียงพอ

หากท่านผู้อ่านมีอะไรจะสอบถามเพิ่มเติมผมยินดีตอบคำถามเพื่อจะได้ให้เป็นวิทยาทานครับ
ต้องยอมรับความจริงครับ(ส่วนมากไม่กล้าบอกใครๆว่าตัวเองเป็นมะเร็ง) ให้คิดว่าทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

จากคำบอกเล่าของ นายถาวร พุฒเขียว และยินดีตอบทุกคำถามเพื่อเป็นวิทยาทาน หากมีคำถามโปรดโพสท์ในเว็บไซต์นี้
ปล.ผลการตรวจมะเร็ง ทั้ง 5 ครั้งและฟิล์ม MRI กรุณาคลิกดูภาพ จะขยาย อยู่ท้ายสุดของบทความ